วันพุธที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2552

อยากจะลืม

อยากจะลืม เรื่องราววุ่นวายชีวิต
เรื่องราวที่ยังวนเวียนทำให้คิด ถึงวันนั้นยังไม่จางไป

คงไม่นานถ้าหากเราไม่คิดถึงใครๆ เราก็คงจะลืมมัน
เพียงนิดเดียวถ้าหากเราไม่ต้องพบเจออะไร ที่มันผูกมันพันกัน

มันคงไม่ยากเย็นเท่าไรถ้าวันนี้ไม่มีเขา
และคงไม่ยากเย็นอะไร ถ้าพรุ่งนี้มีเพียงเรา..คนเดียว
ไม่ต้องไปสนใจ มันก็แค่เรื่องเมื่อวาน

อยากจะลืม ใครสักคนที่ทำให้เราเหงา
ใครสักคนที่ยังคงทำให้เราเศร้า แม้วันนี้ยังคงเสียใจ

..คงไม่นานถ้าหากเราไม่คิดถึงใครๆ เราก็คงจะลืมมัน..
..เพียงนิดเดียวถ้าหากเราไม่ต้องพบเจออะไร ที่มันผูกมันพันกัน..

..มันคงไม่ยากเย็นเท่าไรถ้าวันนี้ไม่มีเขา..
..และคงไม่ยากเย็นอะไร ถ้าพรุ่งนี้มีเพียงเรา..คนเดียว..

ไม่ต้องไปสนใจ มันก็แค่เรื่องเมื่อวาน

วันอังคารที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2552

เวลา

การที่เราได้เห็น คนที่เรารัก มีความสุจ แค่นี้เราก็สุขใจแล้ว

ไม่เสียใจ ที่เธอ เป็นคนที่ทิ้งฉันไป ไม่เสียใจที่ต้องเป็นแบบนี้

เหมือนหมดรัก กันแล้ว หากจะยื้อต่อไป มันไม่มีอะไรดีจึ้นมา เหมือนรักมาถึงจุดอิ่มตัว อิ่มแล้ว พอแล้ว

ดีใจ ที่วันนี้ เธอเป็น ฝ่ายที่ต้องเลือกเดินจากไป ไม่ใช่ฉัน ฉันก็เคยคิด

ไม่ใช่ไม่เคยคิด

ที่จะไม่เดินจากเธอไป

แต่ถึงอย่างไร ฉันก็อยาก ให้เธอ ได้ตัดสินใจ ก่อน ให้เธอ ได้เลือก ก่อน

คนๆๆนั้น คนใหม่ของเธอ ของใหม่ อะไรๆๆ ก็ต้องดีกว่าของเก่า

ของเก่า มันก็เหมือน ของ ตาย เก่า น่าเบื่อ หมดคุณค่

สถานะที่เป็นของเก่า ของตาย ที่เหมือนจะถูกลืม

เหมือนจะถูกลืมไป แต่ก็ลืมไม่ได้

มันเจ็บปวด น่ะ ที่เธอ ต้องย้อนกลับมา ในวันที่ฉันเป็นของตาย สำหรับเธอไปแล้

แต่ ฉัน ยืนตรงนี้ ยินดี จะรับฟัง

รับฟัง เพื่อนเก่า ความรู้สึกนั้น

งไม่ย้อนกลับมา ………………ให้เหมือนเดิม…………….

จำไว้น่ะ ว่า เพื่อนที่ดีที่สุด คือ เธอ………………………………………………………….

อยากบอกเธอ ว่าขอบคุณ ทุกๆๆสิ่ง ความรู้สึกดีๆๆๆ

………………………………รักกันแทบตาย สุดท้าย ก็เหลือตัว คนเดียว

เอา หัวใจ กลับบ้าน……………………..

คนนั้นไง ที่รอ เราอยู่ ที่บ้าน อ้อมกอดอุ่นๆๆ ตักนุ่มๆๆๆ

แก้มที่มีรอยย่น ไปตามกาลเวลา ที่เปลี่ยนแปลง

ม่…….คนที่ รักเรา มากมาย และไม่หวัง สิ่งใดตอบแทน

แม่………….แม้เวลา จะผ่านไปนาน แค่ไหน สถานะ ก็ไม่เคยเปลี่ยนไป

แม่ ….

มิ้น

ขอโทษ

แม่

มิ้น

รัก

แม่

ที่สุด

ใน

ดวงใจ

ดวงนี้

ดวงฤทัย

ดวงใจ

ของพ่อ แม่

วันจันทร์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2552

สมมติว่าเรารู้จักกัน


ไม่รู้ว่าจะพูดออกมาอย่างใด มันอัดอั้นเลยเกิน





ทำไมต้องมาทำร้ายจิตใจกันด้วย



ฉันคิดมาตลอดว่า ฉันได้ไปแทนที่ เขาคนนั้นของเธอหรือป่าว ฉันเสียใจ ฉันเสียใจ


แต่ฉันก็ พยายามข่มใจไว้ ไม่อยาก เอาไปคิด


ฉันกำลังคิดว่า เรากำลัง พยายามรักกันอยู่หรือไม่ ในขณะที่ .............ใจของเธอ มีใคร มีเรื่องราว ของเขาคนนั้นมากมาย

ที่ไม่อาจลืมได้.................


ฉันคิดว่า เราพยายามรักกัน และเธอก็พยายาม ทำทุกอย่าง เพื่อที่จะลืมเขา เพราะ เธอเคยบอกว่าเธอ เพิ่งอกหักมา


ทุกอย่าง ทุกอย่าง ทุกอย่าง ที่เธอทำ ให้ฉัน มันตอกกำลังตอกย้ำความรู้สึกของเธอ ที่มีให้เขา โดย มีฉันมาแทนที่



ฉันก็เป็นเพียงแค่..........จิตนาการที่เธอ สร้างมา


แล้วเธอก็ทำตาม และฉันก็ทำตาม บทที่เธอเขียนไว้
ฉันไม่รู้ว่า ฉัน ได้รักเธอตั้งแต่เมื่อไร เมื่อแรกเห็น เมื่อคุยกัน

ฉันไม่รู้



ฉันไม่รู้เลยว่า ฉัน รักเธอ ทำไม ทั้งที่ฉันก็รู้ดีว่า จุดจบ จะเป็นอย่างไร


หลายคนเตือนฉันอย่า ได้ถล้ำลึกมากกว่านี่

ฉันไม่สนใจ


......................


...........

..

.

T_T



แล้ววันนี้ ก็มาถึง ..................................................... จุดจบของละครเรื่องหนึ่ง



..................


........

..



ฉันไม่ มีเธอ เคียงข้าง อีกแล้ว ไม่มีเธอ ไม่มีเธอ


ลบเลือน ลบเลือน จางหายยยย

.......



จางงงง ไป


เธอ จืดจางลงง



ไม่สนใจ


ฉัน เป็นใคร .................ตอบหน่อยได้ไหม


ฉันอยากจะถามเธอ

ฉัน...........ฉันมีค่าแค่ไหน ในสายตาเธอ มาทำดีกับฉันทำไม.........................




ลบเลือนนนนนนนนนนนน


ลบเลือนนนนน


ลบเลือนน



.....


นึกถึง


หวนกลับมา


ความคิด


ความคิดนั้น

เธอคือ คนแรกที่ ฉันได้จับมือ


คนที่ทำให้ฉันร้องไห้ มากมายยยยยยยยยย


เหมือนคนโง่ ...........โง่ โง่ โง่ ที่กลับไปนึกถึงอีก


ฉันเป็นอะไรไป



ฉันเสียใจ

ฉันเสียใจ



ฉันจะยืนตรงนี้.............เมื่อ เธอกลับไปหาคนของเธอ...........คนนั้น



คนที่เธอจากมา



ขอให้เธอและเขารักกัน


รักกัน


...................


ฉันไม่ขอ รั้งเธอไว้ อีกต่อไป ที่ผ่านมาฉันณู้และเสียใจมาตลอด ฉันคิดว่า...........ฉันครวจะปล่อยเธอไป


ปล่อยเธอไป



ปล่อยเธอไป



เหลือ ฉัน



ไม่เป้นไร


ไม่เป็นไร

............T_T................





ต่อนี้ไปฉันและเธอ เมื่อพบกัน



ขอให้เรา


ทำเหมือนกับว่า



....



สมมุติ ว่า เรารู้จักกัน เก็นความรู้ นั้นไว้


คงเจ็บปวด

ร้องไห้ เท่าไร ก็ไม่พอ



สมมติว่า เรา รู้จักกัน

วันพฤหัสบดีที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2552

19 คำโกหกของผู้ชาย


"ชีวิตนี้ผมจะไม่ขอรักใครอีกนอกจากคุณ"(ชาย100คน โกหกเรื่องนี้ถึง 90 คน)ใครได้ยินคำนี้อย่าหลงดีใจ เพราะเค้าสามารถรักคนใหม่ได้เมื่อต้องเลิกกันไปแล้ว






"เธอจะเป็นผู้หญิงคนเดียวที่ผมรักมากที่สุด" (ชาย100คน โกหกเรื่องนี้ถึง 85 คน)แม้เค้าจะแทงกั๊กประมาณว่าถึงจะมีกิ๊กใหม่ในอนาคต เค้าก้อไม่สามารถรักเท่าที่รักเธอ ฟังดูก้ออาจจะเป็นไปได้แหะ




"เราจะอดทนเป็นแฟนกันจนแต่งงานในอนาคต" (ชาย100คน โกหกเรื่องนี้ถึง 95 คน)เค้าพูดด้วยความรู้สึกแบบเด็กๆที่ยังไม่ได้ผ่านสารพัดร้อยล้านเหตุการณืที่จะะเกิดขึ้นในวันข้างหน้า ซึ่งอาจทำให้ความรักสะดุดเมื่อไหร่ก้อได้




"ผมไม่เคยยอมใครขนาดนี้มาก่อน" (ชาย100คน โกหกเรื่องนี้ถึง 83 คน)ถ้าเค้าเป็นคนที่นิสัยยอมคน เค้าก้อจะยอมกับผู้หญิงทุกคนนั่นแหล่ะ





"สิ่งที่ผมทำลงไป ผมพยายามทำดีที่สุดแล้ว" (ชาย100คน โกหกเรื่องนี้ถึง 78 คน)ถ้าเกิดเค้าได้พยายามอย่างถึงที่สุดแล้ว ต่อให้ผูหญิงคนนั้นหูหนวกหรือตาบอดยังไงก้อต้องรู้สึกได้




"ก้อผมเป็นของผมหยั่งงี้มานานแล้ว" (ชาย100คน โกหกเรื่องนี้ถึง 79 คน)เค้าพูดเพื่อให้เธอยอมรับนิสัยห่วยแตกของเค้า โดยอ้างความเป็นตัวของตัวเอง




"ให้อภัยผมเถอะ ผมจะไม่ได้ทำอีกแล้ว" (ชาย100คน โกหกเรื่องนี้ถึง 65 คน)ธรรมดาที่เค้าจะต้องพูดเพื่อใหการอภัยโทษป้องกันชะตาขาด และเธอเชื่อหรอว่าเค้าจะไม่พูดคำนี้อีกและอีกๆๆๆๆ




"ไม่รักผมไม่เป็นไร ขอแค่ให้ผมได้รับเธอก้อพอ" (ชาย100คน โกหกเรื่องนี้ถึง 83 คน)แค่เธอแสดงให้เห็นว่ายังไงเธอก้อไม่มีวันรักเค้าได้จริงๆ ขี้คร้านจะรีบเด้งตัวเองจากไปภายในไม่กี่วัน พร้อมด้วยคำนินทาเธออีกก้อนใหญ่




"คิดถึงจนทนไม่ไหวแล้ว ออกมาเจอกันหน่อยนะ" (ชาย100คน โกหกเรื่องนี้ถึง 88 คน)เค้าอาจจะถวิลหาเธอจริงๆแต่ไม่ได้รุนแรงถึงกับจะลงแดงตายเหมือนเธอเป็นยาเสพ ์ติดของเค้าขนาดนั้น



"ทำไม ผมเลวจนเธอไม่ไว้ใจได้เลยหรอ" (ชาย100คน โกหกเรื่องนี้ถึง 71 คน)เมื่อมีความไม่พอใจต่อการกระทำของเค้าในทุกกรณี เค้าจะต้องรีบปกป้องตัวเอง เพื่อแตะเบรค ความคิดของเธอ



"ขอนอนกอดเฉยๆก้อพอ" (ชาย100คน โกหกเรื่องนี้ถึง 89 คน)และ 89 คนนั้นหมายถึงการกอดในครั้งแรกที่ใกล้ชิดตัวกันมากขนาดนั้น แต่จะพุ่งพรวดถึง 95 คนทันที ในการกอดครั้งต่อไป



“ผมรักนะเลยอยากให้เธอเป็นของผม” (ชาย100คน โกหกเรื่องนี้ถึง 95 คน)เพราะถ้ารักจริงทำไมต้องขอเอาเปรียบเราด้วย รักแล้วไม่หน้าด้านขออะไรๆ เรื่องนี้ไม่ได้หรือไง



“เธอคนนั้นเป็นแค่เพื่อนจริงๆ” (ชาย100คน โกหกเรื่องนี้ถึง 65 คน)ไม่มีทางซะหรอกที่เมื่อมีผู้หญิงมากิ๊ก แล้วเขาจะปฏิเสธเจ้าหล่อนเป็นแค่เพื่อน



”ผู้หญิงคนนั้นเค้ามาชอบผมเอง” (ชาย100คน โกหกเรื่องนี้ถึง 51 คน)ฟังแล้วน่าภูมิใจที่พ่อตัวดีมีเสน่ห์เหลือร้าย แต่ช้าก่อนเพราะเพลงของปานนำมาใช้ได้กับคำโกหกคำนี้เสมอ



“ตบมือข้างเดียว ไม่ดัง”




“เพื่อนมันลากผมไป ผมอยากไปกับมันซะที่ไหนเล่า” (ชาย100คน โกหกเรื่องนี้ถึง 95 คน)ถ้าไม่อยากไปจริงๆ แม้เค้ามาฉุดยังไงก้อไม่ยอม ดังนั้นถ้าเค้าไม่ถูกเพื่อนเอาปืนจ่อหัว อย่าไปเชื่อว่า เค้าไม่อยากไปเฮกับเพื่อน




“ผมไม่ว่างจริงๆ อยากเจอเธอจะตายไป” (ชาย100คน โกหกเรื่องนี้ถึง 85 คน)คำว่าไม่มีเวลาว่างของเค้าก้อคือไม่อยากไปเจอเธอนั่นเอง และที่มันไม่ว่างเพราะว่าหายไปเฮกับเพื่อนๆ หรือกิจกรรมที่เร้าใจกว่าของเค้า“




ไม่มีทางที่ผมจะเห็นเพื่อนสำคัญมากกว่าเธอ” (ชาย100คน โกหกเรื่องนี้ถึง 51 คน)ซึ่งเป็นที่รู้ๆกันดีอยู่ว่าคำพูดผู้ชายจะพูดกับผู้ร่วมแก๊งว่า”เฮ้ย กรูน่ะไม่เคยเห็หญิงสำคัญกว่าเพื่อนอยู่แล้ว”



“มีอะไรเราต้องไม่ปิดบังกันทุกเรื่อง” (ชาย100คน โกหกเรื่องนี้ถึง 64 คน)แม้จะรักกันปานหายใจปอดเดียวกัน แต่เชื่อเหอะว่าทุกคนบ่อมมีความลับของตัวเองบ้าง และผู้ชายไม่มี วันคายความลับของตัวเองออกมาอย่างแน่นอน





“ถ้าวันไหนต้องเลิกกัน ผมยังจะห่วงเธอเหมือนเดิม” (ชาย100คน โกหกเรื่องนี้ถึง 95 คน)มันไม่มีทางจะเป็นไปได้อยู่แล้ว อย่างน้อยที่สุดก้อไม่มีทางว่าจะห่วงใยกันได้เท่าเดิม

วันจันทร์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2552

การฝึกงานที่ LAW FIRM

เป็นที่เข้าใจได้และทราบกันดีว่า นักศึกษาคณะนิติศาสตร์ในช่วงของปีที่ 3 ขึ้นปีที่ 4 นั้น ( ปิดเทอม Summer) จะเป็นที่นิยมไปฝึกงานตามสถานที่ต่างๆ ซึ่งการฝึกงานของนักศึกษานี้หาได้มีการบังคับไว้ว่าต้องฝึกทุกคนแต่ประการใดไม่ แต่เป็นเรื่องที่แล้วแต่บุคคลว่าต้องการประสบการณ์ก่อนจบไปทำงานจริงหรือไม่อย่างไรต่างหาก โดยบางคนอาจจะพอใจไปฝึกงาน หรือบางคนอาจไปทำกิจกรรมอื่นๆในช่วงเวลาดังกล่าวก็แล้วแต่จะตัดสินใจกันไป
สำหรับช่วงเวลาในการฝึกงานโดยปกตินั้นก็จะเป็นระยะเวลา 2 เดือนคือ เดือน เมษายนและเดือนพฤษภาคม สำหรับในส่วนของสถานที่ฝึกงานนั้นโดยปกติก็จะมีทั้งหน่วยงานราชการ และของเอกชน รับเข้าฝึกงาน การรับเข้าฝึกงานก็มีทั้งต้องไปสมัครในแต่ละสถานที่เอง หรือบางสถานที่จะรับผ่านคณะนิติศาสตร์โดยตรงเท่านั้นก็มี


1 การรับเข้าฝึกงานโดยผ่านคณะนิติศาสตร์ สำหรับสถานที่ฝึกงานที่รับผ่านคณะนิติศาสตร์โดยตรง ตามปกติในแต่ละปีก็จะเป็นหน้าที่ของศูนย์นิติศาสตร์เป็นศูนย์กลางในการรับสมัครและคัดเลือกนักศึกษาส่งไปฝึกงานตามสถานที่ต่างๆ ที่ส่งมาให้คณะนิติศาสตร์เป็นผู้คัดเลือกส่งไปเอง สำหรับสถานที่ฝึกงานที่รับผ่านศูนย์นิติศาสตร์ก็มีทั้ง เป็นของเอกชน ซึ่งในบางปีก็มีของ Law firm ดังๆ ติดอันดับ Top Five เช่น White And Case หรือที่อื่นๆก็แล้วแต่ในปีนั้นๆบริษัทใดจะส่งมาให้รับโดยผ่านคณะนิติศาสตร์บ้าง
แต่โดยมากที่พบมักเป็นบริษัทกฎหมายของไทยและมีน่าสนใจอยู่หลายแห่ง รวมถึงสถานที่ราชการหลายๆแห่งก็ติดต่อรับโดยผ่านส่วนนี้เช่นกัน ข้อดี ของการสมัครผ่านคณะก็คือ ถ้าคณะคัดเลือกนักศึกษาท่านใดแล้ว ก็คือว่าได้ไปฝึกงานในสถานที่นั้นๆเป็นที่แน่นอน
สำหรับการฝึกงานโดยผ่านคณะนั้นก็อาจได้ค่าตอบแทนการฝึกงาน ช่วยงานได้เช่นเดียวกับไปสมัครด้วยตนเองได้ ขึ้นอยู่กับสถานที่ที่เราไปฝึกงานจะมีการกำหนดไว้อย่างไร ต้องแล้วแต่สถานที่ๆไป
อย่างไรก็ดีถ้านักศึกษาท่านใดจะฝึกงานโดยผ่านคณะขอให้ติดต่อกับศูนย์นิติศาสตร์ และสอบถามข้อมูลไปโดยตรงได้ เพื่อสอบถามรายละเอียดและเตรียมตัวไว้ล่วง


2. การรับเข้าฝึกงานโดยนักศึกษาไปสมัครเอง (Walk in) สำหรับการเข้าฝึกงานโดยนักศึกษาไปสมัครเองนั้น ก็แล้วแต่สถานที่ บริษัทต่างๆเป็นผู้เปิดรับสมัครเอง ( ก็ต้องติดต่อสอบถามไปยังสถานที่ต่างๆเองว่าในปีนั้นๆจะรับนักศึกษาเข้าฝึกงานหรือไม่ ) ซึ่งก็มีทั้งหน่วยงานราชการและหน่วยงานของเอกชน และโดยตามปกติ Law Firm ที่เป็น Top Five จะใช้วิธีการรับเองโดยไม่ผ่านคณะ เช่นเดียวกันคือ สำหรับค่าตอบแทนก็แล้วแต่ว่าจะมีให้หรือไม่ขึ้นอยู่กับสถานที่ต่างๆ .. สำหรับรายละเอียดของ Law Firm ที่เป็น Top Five และข้อแนะนำในการสมัคร การสัมภาษณ์โดยละเอียดได้กล่าวไว้แล้ว จึงไม่ข้อกล่าวซ้ำ แต่สามารถเข้าไปอ่านได้ใน http://www.thaimisc.com/freewebboard/php/vreply.php?user=law_tu&topic=6284&page=1

ในส่วนของระยะเวลาที่เปิดรับนักศึกษาเข้าฝึกงานนั้น โดยปกติ จะมีการเปิดรับ ในช่วงของภาคการศึกษาที่ 2 ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนเป็นต้นไป
สำหรับการเปิดเรียนโดยปกติ(ปีนี้เปิดไม่ปกติเพราะหยุดกีฬามหาวิทยาลัยโลกไป) หลังจากเปิดเทอมแล้ว ก็ควรจะเตรียมหารายละเอียดและช่วงเวลาที่ แต่ละสถานที่ บริษัทเปิดรับสมัครฝึกงานกันได้ และสำหรับในบางบริษัทนั้น โดยเฉพาะ Top five Law firm บางแห่งจะมาแนะนำและรับสมัครกับที่คณะนิติศาสตร์เลยก็มี ฉะนั้น นักศึกษาคนใดสนใจจะฝึกงานที่ใดขอให้ศึกษาและเตรียมตัว
ในส่วนของอัตราการแข่งขันนั้น ดังได้กล่าวมาแล้วว่า ถ้าสมัครโดยผ่านคณะนิติศาสตร์ ก็เป็นไปตามคณะกำหนดซึ่งขอให้สอบถามไปโดยตรง แต่ถ้าไปสมัครเอง(Walk in) นั้น ในกรณีของบริษัทที่มีชื่อเสียง โดยเฉพาะ Top five อัตราการแข่งขันนั้น โดยทั่วๆไปอาจเป็น 50-60 ต่อ 1 คนเลยเชียว ตัวอย่างของปีของพี่ สมัคร Baker กัน เกือบ 300 คน ได้ 5 คน เป็นต้น และในปีต่อๆมาก็ไม่ต่างกันมาก แต่ถ้า Law firm บางแห่งอัตราส่วนไม่มาก แต่คุณสมบัติต้องดีจริงๆจึงจะได้ก็มี ฉะนั้น ของให้ศึกษารายละเอียดแต่ละที่และเตรียมตัวกันล่วงหน้า ถ้าสนใจ

ในประเทศไทยจะเป็นที่รู้กันในหมู่นักกฎหมายเอกชนว่ามีการจัดอันดับ law firm อยู่ ซึ่งทำให้เกิด top five law firm ขึ้นมา อันประกอบไปด้วย ALLEN & OVERY (THAILAND) CO., LTD BAKER & MCKENZIE . LTD CLIFFORD CHANCE LINKLATERS WHITE & CASE (THAILAND)LIMITED
โดยในแต่ละ law firm นั้นไม่สามารถบอกหรือเจาะจงลงไปได้ชัดเจนว่า law firm ใด อยู่อันดับที่เท่าไร แต่เมื่อกล่าวถึง law firm ทั้ง 5 แห่งดังกล่าว ก็มักเรียกว่าเป็น top five law firm และเป็นที่รู้กันทั่วไปว่า ใน top five นั้น law firm ที่ใหญ่ที่สุด (ขนาด ) ก็คือ BAKER & MCKENZIE CO., LTD เพราะมีพื้นที่ การแบ่งแยกแผนก และจำนวนนักกฎหมายมากที่สุด
โดยหลัก การฝึกงานใน top five law firm เกือบทุกแห่งมักจะดูเกรด และภาษาอังกฤษเป็นสำคัญ ( ซึ่งโดยมากถ้าเกรดเฉลี่ย 80 % ขึ้นไปก็จะมีโอกาสได้รับคัดเลือกเข้าฝึกงานมากกว่าคนที่เกรดเฉลี่ยต่ำกว่านี้ แต่มิได้หมายความว่าถ้าเกรดเฉลี่ยไม่ถึง80 % จะไม่ได้รับคัดเลือกให้เข้าฝึกงานใน top five law firm เสียเลย และแม้เกรดเฉลี่ย 80 % ขึ้นไปก็มิได้หมายความว่าจะได้รับคัดเลือกให้เข้าฝึกงานใน top five law firm อย่างแน่นอน ต้องดูความสามารถอื่นประกอบด้วย สำหรับนักศึกษาที่เกรดเฉลี่ยไม่สูงมาก ( มักดูกันว่าเกิน80 % หรือไม่ ) ก็ควรต้องมีความสามารถอื่นมาทดแทนเพิ่มเติมเกรดเฉลี่ยนี้ ซึ่งที่สำคัญก็คือ ภาษาอังกฤษ นอกจากนี้บุคลิกภาพ ของแต่ละบุคคลก็มีส่วนสำคัญที่นำมาใช้คัดเลือกนักศึกษาเข้าฝึกงานใน top five law firm ด้วย CLIFFORD CHANCE
เริ่มแรกจะดูจากใบสมัครก่อน จะดูเกรดเป็นหลัก โดยเฉพาะ อันดับต้นๆของคณะถ้าไปสมัครจะมีโอกาสมาก และในอดีต ถ้าเป็นที่ 1 ของรุ่น(ในชั้นปีที่ 3 ขึ้น ปีที่ 4 ) ไปสมัคร ก็จะรับทันทีเลย ( บางปีที่ 2 ก็จะได้ด้วยเหมือนกัน ) ที่นี่จะเรียกเฉพาะนักศึกษาที่เกรดสูงๆไปสัมภาษณ์ ซึ่งปกติจะเรียกเฉพาะนักศึกษาที่เกรดเฉลี่ย 80 % ขึ้นไป มาสอบข้อเขียนก่อน โดยเป็นข้อสอบกฎหมายยากๆ ให้เวลาในการทำและให้ประมวลประมวลกฎหมายด้วย ข้อสอบที่ให้ทำก็จะมาจากคดี (Case) ที่ลูกความเคยมาปรึกษาที่บริษัทนั่นเอง
พอสอบข้อเขียนเสร็จแล้ว ก็จะนัดมาสัมภาษณ์อีกครั้งหนึ่งทั้งภาษาไทย และภาษาอังกฤษ
การสัมภาษณ์ภาษาไทย จะโหดมาก ปกติจะนักมีกฎหมาย 5 คนขึ้นไปร่วมกันถามนักศึกษาคนเดียว ซึ่งจะถามยาก ลึก และก็จะถามไล่ไปเรื่อยๆจนกว่าจะต้อนให้เราจนด้วยเหตุผล ( แต่ถ้าตอบตามหลักกฎหมายก็ไม่มีปัญหา แต่ที่น่ากลัวคือบางหลักกฎหมายเรายังไม่ได้เรียนหรือลึกเกินกว่าจะคิดไปถึง )
ส่วนการสัมภาษณ์ภาษาอังกฤษนั้น ก็จะเป็นคนต่างชาติ(คนเดียว)มาสัมภาษณ์เป็นคนละคนกับคนสัมภาษณ์ภาษาไทย คำถามก็พื้นๆทั่วไปที่พูดคุยและใช้ในชีวิตประจำวัน แค่พอพูดคุยสื่อสารเข้าใจได้ก็พอ



ข้อสังเกต
ที่ผ่านๆมาที่นี่ จะดูเกรดเป็นหลักจริงๆ เช่น ถ้ามีที่ 1 2 3 ในคณะ ไปสมัคร และมีที่ลำดับต่ำกว่าไปสมัครด้วย คนที่ลำดับต่ำกว่าด้วยก็จะไม่ได้เลย แต่ปัจจุบันอาจเปลี่ยนไปบ้าง แต่อย่างไรก็ตามถ้าที่ 1 ไปสมัคร ก็เห็นว่าน่าจะรับแน่ๆอยู่เช่นเดิม เหตุผลที่อ้างอิงคือ ที่นี่ ถ้าจบปริญญาตรีได้เกียรตินิยมอันดับ 1 เหรียญทอง ไปสมัครก็จะรับเข้าทำงานทันที แม้ภาษาอังกฤษอาจไม่เก่ง



BAKER & MCKENZIE
เนื่องจากเบเคอร์ มีการแบ่งแยกงานกฎหมายออกเป็นแผนกต่างๆเพราะมีงานเข้ามามากในแต่ละปี จึงจำต้องมีนักกฎหมายที่เก่งเฉพาะด้านแยกออกไปตามแผนก ตัวอย่างแผนก เช่น Marketing Litigation IP Corporate Real Estate Insurance ฯลฯ (ดูจากใบสมัครได้)
ดังนั้น ตั้งแต่ตอนเริ่มแรกที่กรอกใบสมัครก็จะให้เลือกแผนกที่สนใจจะเข้าไปฝึกงานเลย (เรียงลำดับ) ซึ่งถ้าหากได้รับคัดเลือกให้เข้าไปฝึกงาน ก็จะได้ไปประจำอยู่ในแผนกตามที่ได้เลือกไว้ เพราะฉะนั้น การเลือกแผนกที่ตนเองสนใจไว้แต่แรกจะเป็นผลดีมาก เพราะงานที่ได้รับในแผนของตนจะเป็นงานในกฎหมายเกี่ยวกับเรื่องนั้นๆโดยตรงจริงๆ ปกติจะเรียกทุกคนที่สมัครมาสัมภาษณ์ โดยเกรดขั้นต่ำจะเป็น 70 % (อาจเปลี่ยนแปลงไปในแต่ละปี)
การทดสอบก็จะนัดคนสมัครแต่ละคนมาสัมภาษณ์ไว้ล่วงหน้าทันทีที่ยื่นใบสมัคร (อาจเปลี่ยนแปลงไปในแต่ละปี) การนัดสัมภาษณ์จะนัดคนที่เกรดเฉลี่ยใกล้เคียงกันอยู่วันเดียวกัน
ในวันสัมภาษณ์จะมีการให้เขียนเรียงความภาษาอังกฤษส่งก่อนให้เวลาประมาณ 30 – 45 นาที ( จำไม่ได้แน่นอนว่ากี่นาที) ตามหัวข้อที่แจกในแต่ละวัน ซึ่งหัวข้อเรียงความในแต่ละวันที่มาสัมภาษณ์ก็จะแตกต่างกันออกไป ให้เขียนประมาณ 1 หน้า เอ 4 เช่น Compare between judge and lawyer (in law firm) หรือหัวข้อเกี่ยวกับทัศนะคติหรือความคิดเห็นในเรื่องต่างๆที่สำคัญๆในช่วงเวลานั้นๆ (จะไม่ใช่คำถามกฎหมายให้ตอบเป็นภาษาอังกฤษ) พอเขียนเสร็จหรือหมดเวลาก็ส่งก่อน แล้วไปรอสัมภาษณ์ ในขณะที่รอสัมภาษณ์พี่ๆที่บริษัทก็จะสั่งอาหารมาเลี้ยงด้วย ในปีของเราเป็น pizza ไก่ทอด และ pepsi การสัมภาษณ์นั้นปกติก็จะมีนักกฎหมายสองถึงสามคนเป็นคนสัมภาษณ์
คำถามก็เกี่ยวกับประเด็นกฎหมายให้คิด ไม่ยากมาก ดูความเข้าใจและความสามารถในการถ่ายทอด อธิบายเป็นหลัก แต่บางทีก็จะมีคำถามยากๆถามมาด้วยเหมือนกัน ซึ่งอันนี้ก็แล้วแต่ดวงของแต่ละคนล่ะ ว่าคำถามจะยากหรือง่าย เช่น ประมาทกับประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงต่างกันอย่างไร , ถ้าวัตถุในการชำระหนี้ในสัญญาต่างตอบแทนถูกทำลายไปก่อนสัญญาเกิด และภายหลังสัญญาเกิดแล้ว ผลของสัญญาทั้งสองจะแตกต่างกันอย่างไร อธิบาย (อันนี้ง่าย) แล้วก็ถามไล่ไป 215 218 219 370-372 ประมาณนี้ แล้วก็มีคำถามพวกการออกเสียงในบริษัท บางทีก็จะเจอกฎหมายแปลกๆอย่างเช่น กฎหมายเกี่ยวกับการถือครองที่ดินของคนต่างด้าว การเช่าอสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุน ซึ่งเช่าได้เกินกว่า 30 ปี เป็นต้น ส่วนภาษาอังกฤษก็คำถามทั่วๆไป ซึ่งคนสัมภาษณ์ก็คือคนเดิม แต่บางคนก็โดนถามยากก็มี อันนี้แล้วแต่ดวงอีกเช่นกัน 555
ที่เบเคอร์นั้นรับนักศึกษาเข้าฝึกงานไม่ได้ดูเกรดอย่างเดียว แต่จะดูภาษาอังกฤษประกอบด้วย ก็มีเกรด ตั้งแต่ 70 ขึ้นไป จนถึง 80 กว่าๆ ไปฝึกงาน ซึ่งหากเกรดไม่สูงความสามารถด้านภาษาอังกฤษที่ไปชดเชยก็ต้องเก่งในระดับหนึ่ง แต่ถึงแม้เกรดสูงแต่ถ้าภาษาอังกฤษไม่ดีก็ไม่ได้รับคัดเลือกให้เข้าไปฝึกงานเหมือนกัน รุ่นเราเป็น Summer Clerkship 2005 มีนศ..มธ. 5 คน จุฬา 10 คน ( ส่วนในเรื่องประสบการณ์ตอนฝึกงานไว้เล่าต่อทีหลัง)

ในการสัมภาษณ์ฝึกงานนั้น ทั้งที่ BAKER & MCKENZIE CO., LTD และ CLIFFORD CHANCE หรือ law firm อื่นๆนั้น
นอกจากคำถามภาษาอังกฤษและคำถามที่เกี่ยวกับกฎหมายโดยตรงแล้ว ก็เป็นปกติที่จะต้องมีคำถามสัมภาษณ์เพื่อทดสอบ ทัศนะคติ ความคิด และมุมมองอีกด้วย โดยจะเป็นคะแนนกว่าครึ่งหนึ่งของการสัมภาษณ์ ซึ่งพอจะให้ข้อแนะนำและสังเกตได้ ดังนี้ 1. จะมีคำถามในกลุ่มที่ทดสอบความมุ่งมั่น ความตั้งใจ เป็นการทดสอบว่านักศึกษาที่จะเข้ามาฝึกงานนั้นมีความสนใจในงานด้านเอกชนใน law firm จริงหรือไม่ อย่างไร เพราะบาง law firm ก็ต้องการรับเด็กฝึกงานที่พอฝึกงานแล้วในอนาคตจะมาสมัครงานที่ law firm ของตนเองอีก หรือต้องการคนที่สนใจจะทำงาน law firm ในอนาคตจริงๆ
ดังนั้น ไม่ต้องจำอะไรเลย ตอบไปตามหลัก จะตอบอย่างไรก็ได้ตามสไตล์แต่ละคนเลย แต่ขอให้มีแนวทางดังข้างต้นก็ใช้ได้ เช่น ถ้าถามว่า อนาคตอยากเป็นอะไร น้องๆก็รู้ใช่ไหมว่าควรตอบไปในแนวทางไหน หรือถามว่า ถ้าพี่กำลังตัดสินใจว่าจะเลือกน้องเข้าฝึกงาน หรือเลือกเพื่อนสนิทที่สุดของน้องที่มาสมัครด้วยเข้าฝึกงาน พี่ควรจะเลือกใคร เพราะเหตุใด หรือถามว่า อนาคตจะเรียนต่อไหม เรียนต่อด้านใด ที่ไหน อย่างไร หรือถามแผนการณ์ในอนาคต พวกนี้ ก็ตอบกันเอาเอง ตามแนวนี้ แต่ขอให้เป็นธรรมชาติ อย่าFake มากเกินงาม เอาพอดีๆ เป็นตัวของตัวเอง เพราะถ้า มันดูเวอร์คนสัมภาษณ์เค้าก็ดูออก 2. กลุ่มคำถามเพื่อทดสอบลักษณะนิสัย ความคิด การทำงานร่วมกับผู้อื่น การเข้าสังคม การควบคุมอารมณ์ ( เดี๋ยวมาเขียนต่อตอนดึกๆนะไปธุระก่อน ใครมีอะไรเสริมหรือแก้ไขก็เต็มที่เลย )

ALLEN & OVERY (THAILAND) CO., LTD
ให้ค่าตอบแทนเดือนละ 10000 - 12000 บาท *ปกติจะรับประมาณ 3- 5 คน BAKER & MCKENZIE LTD. ให้ค่าตอบแทนเดือนละ 10000 บาท *รับทั้งหมดประมาณ 15 คน ไปเฉลั่ยกับเด็กจุฬา โดยมากก็จะได้อยู่ 4 - 6 คน CLIFFORD CHANCE ให้ค่าตอบแทนเดือนละ 15000 บาท (มากที่สุด) *รับประมาณ 3 คน LINKLATERS ใหค่าตอบแทน 2 เดือน รวม 25000 บาท *รับประมาณ 2 คน WHITE & CASE (THAILAND) LIMITED ตอนเริ่มแรกเคยให้ 5000 บาท ต่อมามีการปรับให้เป็น 10000 บาทเท่ากับที่อื่นๆเพื่อเป็นการจูงใจ นอกจากนี้ในบางปีก็ยังมี package ตั๋วเครื่องบินไปกลับ กรุงเทพฯ-ภูเก๊ต 3 วัน 2 คืน พักที่รีสอร์ตส่วนตัวของบริษัท ฟรีตลอด package ไปกันทั้งหมดที่ฝึกงานเลย กับพี่ที่บริษัท *รับนักศึกษาฝึกงานอาจถึงสิบคนขึ้นไปแล้วแต่ปี หมายเหตุ* จำนวนที่รับมิได้หมายถึงจำนวนทั้งหมดที่รับเข้าฝึกงาน แต่หมายถึงจำนวนโดยประมาณที่รับนักศึกษาเฉพาะของธรรมศาสตร์เข้าไปฝึกงานนะ ถ้าเป็นจำนวนรวมนักศึกษาฝึกงานทั้งหมดในแต่ละที่รวมมหาลัยอื่นอีกก็จะมากกว่านี้ โดยจำนวนที่รับนศ.มธ.เข้าฝึกงานของแต่ละที่ ในแต่ละปีก็ต่างกันอยู่แล้ว ขึ้นกับคุณภาพของนศ.ด้วย อันนี้เป็นจำนวนสถิติโดยประมาณ

LAW FIRM

A law firm is a business entity formed by one or more lawyers to engage in the practice of law. The primary service provided by a law firm is to advise clients (individuals or corporations) about their legal rights and responsibilities, and to represent their clients in civil or criminal cases, business transactions and other matters in which legal assistance is sought.




Smaller firms tend to focus on particular specialties of the law (e.g. patent law, labor law, tax law, criminal defense, personal injury); larger firms may be composed of several specialized practice groups, allowing the firm to diversify their client base and market, and to offer a variety of services to their clients.


Law firms are organized in a variety of ways, depending on the jurisdiction in which the firm practices. Common arrangements include:
Sole proprietorship, in which the attorney is the law firm and is responsible for all profit, loss and liability;



General partnership, in which all of the attorneys in the firm equally share ownership and liability; Professional corporations, which issue stock to the attorneys in a fashion similar to that of a business corporation; Limited liability company, in which the attorney-owners are called "members" but are not directly liable to third party creditors of the law firm;
Professional association, which operates similarly to a professional corporation or a limited liability company; Limited liability partnership (LLP), in which the attorney-owners are partners with one another, but no partner is liable to any creditor of the law firm nor is any partner liable for any negligence on the part of any other partner. The LLP is taxed as a partnership while enjoying the liability protection of a corporation.



In many countries, including the United States and the United Kingdom, there is a rule that only lawyers may have an ownership interest in, or be managers of, a law firm. Thus, law firms cannot quickly raise capital through initial public offerings on the stock market, like most corporations. In the United States this rule is promulgated by the American Bar Association and adhered to in almost all U.S. jurisdictions.



The rule was created in order to prevent conflicts of interest. In the adversarial system of justice, a lawyer has a duty to be a zealous and loyal advocate on behalf of the client. Also, as an officer of the court, a lawyer has a duty to be honest and to not file frivolous cases. A lawyer working as a shareholder-employee of a publicly traded law firm would be strongly tempted to evaluate decisions in terms of their effect on the stock price and the shareholders, which would directly conflict with the lawyer's duties to the client and to the courts.



In the United Kingdom, lawyers are divided between barristers, who plead in the higher courts and give expert opinions on points of law, and solicitors who act directly for clients. Even though barristers are traditionally seen as the senior branch of the legal profession, and the most distinguished British lawyers are generally barristers, most barristers are self-employed sole practitioners (although they share facilities in sets of rooms known as "chambers", usually at one of the four Inns of Court). All the main UK law firms are firms of solicitors.


Big law firms usually have separate litigation and corporate departments. The corporate departments advise companies on corporate deals, and the litigation departments deal with the problems the firms' clients face.


Law firms are typically organized around partners, who are joint owners and business directors of the legal operation; associates, who are employees of the firm with the prospect of becoming partners; and a variety of staff employees, providing paralegal, clerical, and other support services. An associate may have to wait as long as 9 years before the decision is made as to whether the associate "makes partner". Many law firms have an "up-or-out policy" (pioneered around 1900 by partner Paul Cravath of Cravath, Swaine & Moore): associates who do not make partner are required to resign, either to join another firm, go it alone as a solo practitioner, go to work in-house in a corporate legal department, or change professions (burnout rates are very high in law).



Making partner is very prestigious, especially at a large or midsize firm. Such firms take out advertisements in legal newspapers to announce who has made partner. Traditionally, partners shared directly in the profits of the firm, after paying salaried employees, the landlord, and the usual costs of furniture, office supplies, and books for the law library (or a database subscription). However, many large law firms have moved to a two-tiered partnership model, with equity and non-equity partners. Equity partners are considered to have ownership stakes in the firm, and share in the profits (and losses) of the firm. Non-equity partners are generally paid a fixed salary (albeit much higher than associates), and they are often granted certain limited voting rights with respect to firm operations. It is rare for a partner to be forced out by fellow partners, although that can happen if the partner commits a crime or malpractice, experiences disruptive mental illness, or is not contributing to the firm's overall profitability. However, some large firms have written into their partnership agreement a forced retirement age for partners. This age can be anywhere from age 65 on up. In contrast, most corporate executives are at much higher risk of being fired, even when the underlying cause is not directly their fault, such as a drop in the company's stock price.


In the United States and Canada, many large and midsize firms have attorneys with the job title of "counsel", "special counsel" or "of counsel." These attorneys are employees of the firm like associates, although some firms have an independent contractor relationship with their of counsel. But unlike associates, and more like partners, they generally have their own clients, manage their own cases, and supervise associates. These relationships are structured to allow more senior attorneys share in the resources and "brand name" of the firm without being a part of management or profit sharing decisions. The title is often seen among former associates who do not make partner, or who are laterally recruited to other firms, or who work as in-house counsel and then return to the big firm environment. At some firms, the title "of counsel" is given to retired partners who maintain ties to the firm. Sometimes an "of counsel" is a senior or experienced attorney, such as a foreign legal consultant with experience in international law and practice, and his own clients. They are hired as independent contractors by large firms as a special arrangement, that may lead upon profitable results to partnership. In these situation an "of counsel" could be considered as a transitional status in the firm.


Size
Law firms range widely in size. The smallest law firms are solo practitioners (lawyers practicing alone), who form the vast majority of lawyers in nearly all countries.

The United States pioneered the concept of the large law firm in the sense of a business entity consisting of more than one lawyer. The first law firms with two or more lawyers appeared in the U.S. just prior to the American Civil War (1861-1865). The idea gradually spread across the Atlantic to England, although "English solicitors remained a corps of solo practitioners or very small partnerships until after World War II."Today, the United States (and the United Kingdom) have many small firms (2 to 50 lawyers) and midsize firms (50 to 200 lawyers).


Lawyers in small cities and towns may still have old-fashioned general practices, but most urban lawyers tend to be highly specialized due to the overwhelming complexity of the law today. Thus, some small firms in the cities specialize in practicing only one kind of law (like employment, antitrust, intellectual property, or telecommunications) and are called "boutique" firms.


However, the largest law firms have more than 1,000 lawyers. These firms, often colloquially called "megafirms" or "biglaw", generally have offices on several continents, bill up to $750 per hour or higher, and have a high ratio of support staff per attorney. They can, and in some cases do, litigate every issue, burying their opponents in a blizzard of paper in the process; the result has been a kind of legal "arms race" where every large corporation tries to retain the services of the biggest law firm they can afford. Because of the localized and regional nature of firms, the relative size of a firm varies.Thus in New York, several hundred attorneys would be required for a "large firm", whereas in Las Vegas, perhaps only 50 attorneys would be needed to be a "large firm".


The largest firms like to call themselves "full-service" firms because they have departments specializing in every type of legal work that pays well, which in the U.S. usually means mergers and acquisitions transactions,banking, and certain types of high-stakes corporate litigation. These firms rarely do plaintiffs' personal injury work. However the largest law firms are not very large compared to other major businesses (or even other professional services firms) due to the fact that, as law firms, they cannot raise capital from the public markets and, due to ethics rules, cannot represent conflicting parties.



The largest law firms in the world are based primarily in the United Kingdom and the United States. The American system of licensing attorneys on a state-by-state basis, the tradition of having a headquarters in a single U.S. state and a close focus on profits per partner (as opposed to sheer scale) has to date limited the size of most American law firms. Thus, whilst the most profitable law firms in the world remain in New York, four of the six largest firms in the world are based in London in the United Kingdom[1]. But the huge size of the United States results in a larger number of large firms overall — a 2003 survey found that the United States alone had 901 law firms with more than 50 lawyers, while there were only 58 such firms in Canada, 44 in Great Britain, 14 in France, and 9 in Germany.There is an increasing tendency towards globalisation of law firms.



In 2004, the largest law firm in the world was the British firm Clifford Chance, which had revenue of US$1.675 billion. This can be compared with $312 billion for Wal-Mart. On the other hand, Clifford Chance employs about 6,500 worldwide (3,200+ of whom are fee-earning lawyers), versus Wal-Mart's 1,600,000 employees.[citation needed]





Salaries

The salary paid to lawyers in law firms depends on the firm size (looking at averages, but small-firm salaries vary widely and are not often publicly available). In the United States in 2006, the median salaries of new graduates ranged from $50,000/year in small firms (2 to 10 Attorneys) to 135,000/year in very large firms (more than 501 attorneys According to alreadybored.com, many large firms in major markets such as NYC,California,DC, Boston and Chicago compensate new associates according to the following pay scale:


First Year: $160,000, Second Year: $170,000, Third Year: $185,000, Fourth Year: $210,000, Fifth Year: $230,000, Sixth Year: $250,000, Seventh Year: $270,000, Eighth Year: $280,000. Other markets such as Texas start at $160,000, but the annual increases are much smaller than the foregoing scale. With a few exceptions, markets such as Atlanta,[23Philadelphia,New Jersey, Florida,Denver,and Seattle generally start at $130,000 or $145,000. With a few exceptions, most other U.S. markets start within $20,000 of $100,000.


NYC bonuses (the top of the U.S. market) in 2007 were as follows: First Year: $45,000 (35K + 10K special bonus), Second Year: $55,000 (40K + 15K SB), Third Year: $65,000 (45K + 20K SB), Fourth Year: $80,000 (50K + 30K SB), Fifth Year: $95,000 (55K + 40K SB), Sixth Year: $110,000 (60K + 50K SB), Seventh Year +: $115,000 (65K + 50K SB).Larger markets outside NYC typically match the base bonus without the special bonus. Smaller markets and/or smaller firms pay $5K to $20K bonuses, if any at all.



Location


Most law firms are located in office buildings of various sizes, ranging from modest one-story buildings to some of the tallest skyscrapers in the world (though only in 2004, Paul, Hastings, Janofsky & Walker LLP was the first firm to put its name on a skyscraper). Some solo practitioners practice out of their homes or in offices built as special additions to their homes.


Because their "work product" is often intangible, or at least conceptually difficult for clients to grasp, some firms are notorious for using jaw-dropping interior design (huge amount of floor space and fantastic views) as a "shock and awe" tactic to impress prospective clients and intimidate opposing counsel. Other firms will find more modest office space, depending on the nature of the practice.

In late 2001, it was widely publicized that one personal injury plaintiffs' firm in the state of New York has been experimenting with bus-sized "mobile law offices." The firm insists that it does not "chase ambulances". It claims that a law office on wheels is more convenient for personal injury plaintiffs, who are often recovering from severe injuries and thus find it difficult to travel far from their homes for an intake interview.
Rankings

มนุษย์เรือโรฮิงยา


ความรู้สึกของคนที่ไร้รัฐ ไร้สัญชาติ เหมือนกับคนเถื่อน ไม่มีหลักปักเหลนอะไรในชีวิต ชีวิต ชาวโรฮิงยาคงจะรู้สึกเช่นนั้น



โรฮิงยาเป็นคนนับถือศาสนาอิสลาม อาศัยที่รัฐยะไข่หรือรัฐอาระกัน ทางตะวันตกของประเทศพม่า ซึ่งติดต่อกับประเทษบังคลาเทศ ส่วนใหญ่แล้วประกอบอาชีพเกษตรกรรม กรรมกร แรงงงาน ประมง เดิมทีเข้ามาตั้งรกร้างในประเทศพม่ากว่า 100 ปี ทหารพม่ากลับมองพวกเขาเป็นพวกลี้ภัยที่ผิดกฏหมาย ต่อมาเมื่อ รัฐบาลพม่าออก พรบ.ว่าด้วยสัญชาติกำหนดความเป็นพลเมืองพม่า ในปี พ.ศ.2552 สมัยรัฐบาลเนวิน จึงทำให้พวกเขากลายเป็นคนไร้รัฐ จากการรวมกลุ่มของชาติพันธ์ 135 กลุ่มชาติ ในประเทศพม่าและนายพลเนวิน ได้ออกนโยบาย ปฎิบัติการตรากอนคิง ในปี พ.ศ. 2520 ทำให้ ชาวโรฮิงยากว่า 2,000 คน ลี้ภัยไปบังคลาเทศ ซึ่งคนที่ยังอยู่ในประเทศพม่า ก็ถูกข่มเหง กลายเป็นคนชั้นล่าง



ทหารพม่าและรัฐบาลพม่า กระทำทารุณ ทั้งยังถูกจำกัดเสรีภาพในการเดินทาง ไม่สามารถเดินทางผ่านหมู่บ้านหนึ่งไปยังหมู่บ้านหนึ่งได้ อีกทั้งมีการบังคับใช้แรงงาน คือต้องอุทิศ 1 วัน/สัปดาห์ ไปทำงานโครงการต่างๆของทางรัฐบาล และอีก 1 วัน คือเป็นยาม การเรียกตัวไปทำงานมิได้รับเงินแต่อย่างใด อีกทั้งยังถูกตี ถูกซ้อม อีกด้วย ลูกเมียที่บ้านอดๆอยากๆ รอคอยการกลับมาของหัวหน้าครอบครัว ทั้งยังมีการจำกัดพื้นที่ในการทำมาหากิน ทำนาได้ต้องแบ่งรายได้ให้รัฐ 3 ต่อ 1 และถูกเรียกภาษีตามอำเภอใจอีก และหากจะต้องครองคู่กับใครสักคน ( แต่งงาน ) ยังถูกจำกัดสิทธิเลย คือ ต้องได้รับอนุญาตจาก กองรักษาความมั่นคงตามแนวชายแดน หรือ “ นาซากา” ซึ่งต้องใช้เวลาถึง 2 ปี ถึงจะได้รับการอนุมัติ และห้ามมีลูกเกิน 2 คน




ด้วยปัจจัยหลายๆอย่าง ประกอบกับความทารุณที่ทางรัฐบาลพม่า หยิบยื่นให้ ทำให้พวกเขาตกอยู่ในภาวะจำยอม ต้องไปทำมาหากินที่อื่นเพื่อพอแก่การเลี้ยงปากท้อง ต้องโยกย้ายไปทำมาหากินตามที่ต่างๆไปทั่วทั้งชายแดนพม่ากับจีน พม่ากับไทย เข้ามาเป็นแรงงานผิดกฎหมาย เข้าเมืองไทยมาทางบกก็มีไม่น้อย แต่ส่วนใหญ่จะมาทางน้ำ ถิ่นฐานสำคัญที่พวกนี้ไปหา คือ ประเทศมุสลิม โดยเฉพาะประเทศมุสลิมที่ค่อนข้างร่ำรวย ไปเป็นแรงงานราคาถูก สร้างถนนด้วยมือ เป็นชนโสเภณี อยู่สลัมยากจน ลูกๆหลานคลานกับดินข้างถนนเต็มไปหมด เผาพลาสติกเหม็นไปทั้งเมือง






ในเมื่อพวกเขาเลือกเกิดไม่ได้ แต่พวเขาเลือกที่จะเป็นเลือกที่จะเดิน เมื่ออยู่ในภาวะที่กลืนไม่เข้าคลายไม่ออกเช่นนี้ จำต้องออกเดินทางลาจากดินแดนนรกไปสู่ดินแดนแห่งสวรรค์ แต่พวกเขาก็ไม่มั่นใจหรอกว่าวรรค์ที่อยู่ข้างหน้าจะเป็นเช่นไร แต่มันก็ยังดีกว่าต้องอยู่ในขุนนรกไม่ใช่หรือ ชาวโรฮิงยา 79 คน มุ่งหน้าออกเดินทางลงเรือลำเดียวกัน แต่โชคร้าย เจอทหารพม่า มันซ้อม เฆี่ยนตี อยู่ 6 วัน จึงปล่อยตัว ส่วนหนึงในนั้นได้กระโดดน้ำตายไป 1 คน เหลือ 78 คน มันยังบอกอีกว่าห้ามกลับมาประเทศของมันอีก ไม่งั้นถูกยิงตาย หลังจากที่ปล่อยตัว ทนบาดแผลอยู่ 26 วัน ได้เจอทหารไทย (ในเขตน่าน้ำสากล ) ได้ทำการช่วยเหลือ พาขึ้นฝั่ง และได้ทำประวัติ อยู่ในเรือนจำ 5 วัน ( กักขังแทนค่าปรับ ข้อหาเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย) จากนั้นได้ส่งตัวไปที่ด่านตรวจคนเข้าเมืองระนอง ซึ่งตอนนี้สภาทนายความได้ดำเนินการระงับคำสั่งเรื่องการส่งตัวกลับฟประเทศต้นทางเพราะผิดกฎหมายระหว่างประเทศ หากส่งตัวกลับไปคงต้องตายแน่ๆ แม้จะมี UN มารับรองความปลอดภัยในการส่งกลับ แต่พวกเขาก็ไม่มั่นใจอยู่ดีว่า รัฐบาลพม่าจะได้ทำตามสัญญาดังกล่าวหรือไม่ บางคนบอกว่าขอตายที่ประเทศไทย หรือไม่ก็ติดอยู่ในด่าตรวจคนเข้าเมืองระนอง ตลอดไป






คดีนี้จะเป็นอย่างไรนั้นต้องติดตามกันต่อไป แต่สิ่งที่ผู้เขียนได้เรียนรู้ คือ ชีวิตของเรานั้นมีค่าเพียงใด เขาก็เป็นคนเราก็เป็นคน ชาวโณฮิงยาก็เป็นคน มีเลือดเนื้อ มีจิตใจ วันนี้เราไม่ครวจะมองข้ามปัญหาของเพื่อมนุษย์ด้วยกัน สิทธิและศักด์ศรีความเป็นมนุษย์ ของชาวโรฮิงยาเป็นเช่นไรต้องติดตาม………………………




ผู้เขียน

วันจันทร์ที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ไปเข้าค่ายสิทธิ ที่เชียงดาว


































































พี่ๆๆ น่ารักมากๆๆ ออกค่าย สิทธิครั้งแรก ที่เชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ บรรยากาศดีมาก พี่ๆๆน่ารักทุกๆๆคนเลย อบอุ่นมากๆๆ












































ขากลับ เมาครับ พี่น้อง ไปกิน ยาดอง เหล้าขาว หนังควายจี่ ฮาๆๆๆ

วิธีแก้อาการอกหัก







นิยาม อกหัก คือ การผิกหวังจากความรัก ไม่ว่าจะแอบรักเพื่อน รักคนมีเจ้าของ รักครั้งแรก รักกิ๊ก รักแฟน รักเพื่อน ในที่สุดความรักก็มาถึงจุดจบ (the end of story )





















หลายคนบอกทำอย่างไร ถึงจะลืม กุเชื่อว่า ความทรงจำของเรามันไม่ใช่ คอมพิวเตอร์ ที่จะกด delete ทิ้งออกไป












แต่คนเราก็ต้องการที่จะลืม มันในช่วงเวลาหนึ่ง ออกไป จากใจ ไม่นานก็กลับมาเป็นเหมือนเดิม









การแก้อาการอกหัก อันนี้ลองพิสูจน์เอง









1.เขาบอกว่าให้เราแก้อาการโดย การหักดิบ เช่น เปิดเพลงอกหัก ซึ้งๆๆ ไปนั่งทำ เป็นพระเอกหรือ นางเอก mv หลังจากนั้น ให้ฟังเพลงhip pop ฮาๆๆๆ ลองดูน่ะ ออ อย่าลืม เปิดเพลงแม้งเสียงดังๆๆแล้วร้องตามเลย สาดดด












2.เก็บเสื้อผ้ายัดใส่กระเป๋า ออกไปจากสถานที่เก่า ๆ จะไปคนเดียว (มีสติไปด้วย) แต่ที่แน่ๆๆหลายหัวดีกว่าหัวเดียว เอาเพื่อนที่คุณคิดว่าสนิทที่สุดไปด้วย อันนี้แล้วแต่ บุคคลไป






อยากจะชิวล์คนเดียว หรือไปเป็นก๊วน ก็ดี









3.Don't worry about it. ไปทำตัวเองให้มีค่ากัน ไปเข้าร้านเสริมสวย หรือจะทำเองก็ได้















- ทำผมใหม่



- เปลี่ยนสีผม



- ฟอกสีฟัน ขูดหินปูน



- ดัดฟันแม้งเลย



- มารก์หน้า ยี่ห้อไรก็ได้ หรือจะเอาสมุนไพรบ้านเราก็ได้ เช่น ใช้ไข่ขาวดูดสิวเสี้ยน อย่างสูตรคลาสสิกตั้งแต่รุ่นอากง อาม่า ก็ต้องนมสด+มะขามเปียก+ขมิ้น



- ใครอยากไปทำศัลยกรรม ก็เอาเลยจ้า up to เมิง ^^















เข้า concept ที่ว่า สวย เริ่ด เชิด แต่ไม่ยอม น่ะจ้า อิอิ ^^ อย่าปล่อยให้ตัวเองโทรมเด็ดขาด อย่าละเมิดกฎข้อนี้ พวกเราต้องทำตัวเองให้สวย ขี้คร้าน สวย สะอย่าง แค่กะดิกนิ้ว ก็ตามมาเป็นพรวด^^^





















4.. ถ้าเมิง อยากร้องไห้ ก็ร้องไปให้เต็มที่เลย อาจจะจัดงานปาร์ตี้เล็ก ๆ ขึ้นมาสักงานหนึ่ง เพื่อที่จะสลัดความน่าสงสารของคุณออกไป และเกิดอยากร้องไห้ขึ้นมาในระหว่างนั้นละก็ ร้องให้เต็มที่เลย ซื่อสัตย์กับตัวเอง เชื่อเถอะ หลังจากนั้น จะรู้สึกดีขึ้น


















5.15. อย่าลืมว่า ผู้ชายไม่ได้มีคนเดียวในโลก อย่างที่ฝรั่งเขาชอบพูดว่า " There''s plenty of fish in the sea












6.ซดยาดอง กับหนังความจี่ เป็นไง ฮาๆ อย่าไปคนเดียวอันตราย ครวหาเพื่อนสาวไปด้วย





















7.ไปหาเพื่อนเก่าๆๆ หรือปาร์ตี้รวมรุ่นเป็นไง















8.หาความรู้ที่สูงขึ้นมาใส่ตัว เป็นอีกวิธีหนึ่งที่จะทำให้คุณรู้สึกว่าตนเองมีค่ามากขึ้น โดยอาจจะไปสมัครเรียนถ่ายภาพ ปีนเขา หรือเข้าอบรมคอมพิวเตอร์เลยก็ได้





















9.เมื่อคุณปรับเปลี่ยนบรรยากาศมาจนพอสมควรแล้ว ก็ต้องกลับมาเผชิญความจริง















10.อย่าลืม เวลาทั้งหมดที่เสียไปให้กับเขา ต่อจากนี้ เราควร มาใส่ใจคนที่รักเราบ้าง พูดคุยกับพ่อ แม่ เพื่อน น้อง ให้มากขึ้น ๆๆๆๆๆ









ไปเที่ยว ไปปิกนิค ด้วยกาน อันนี้ช่วยได้จริงๆๆ















11.อย่าทำตัวเองให้น่าเบื่อ หากิจกรรมทำเยอะๆๆ และเมื่อ ตัดใจแล้วอย่าเสือกกลับไปอีก จำไว้ เว้นแต่ อยู่ในฐานะ เพื่อนกันแล้วค่ะ^^


















12.ฮาๆๆ ไปลงสมัครเลือกตั้ง ไปไง เอาให้เจ๋ง ไปเรยยยยยยยยย ผู้หญิงอย่างเราก็ทำได้น่ะเว้ย ไอ้ควาย


















13. อย่ากลับไป หาเหตุผลควายๆๆของมัน












หลังจากนี้ จะฟังเพลงเพราะ ได้ ดีมากขึ้น จะกินเหล้าได้อร่อยมากขึ้น















อย่าลืมจากนี้ไป ต้องอยู่กับตัวเองให้ได้ อย่าหนีมัน















อย่าลืมเราต้องอยู่กับมัน อยู่กับความรู้สึก ความรู้สึกของตัวเองให้ได้









หลังจากนี่ เธอจะแกร่งขึ้น เชื่อสิ















จากใจ ผู้เขียน