
ความรู้สึกของคนที่ไร้รัฐ ไร้สัญชาติ เหมือนกับคนเถื่อน ไม่มีหลักปักเหลนอะไรในชีวิต ชีวิต ชาวโรฮิงยาคงจะรู้สึกเช่นนั้น
โรฮิงยาเป็นคนนับถือศาสนาอิสลาม อาศัยที่รัฐยะไข่หรือรัฐอาระกัน ทางตะวันตกของประเทศพม่า ซึ่งติดต่อกับประเทษบังคลาเทศ ส่วนใหญ่แล้วประกอบอาชีพเกษตรกรรม กรรมกร แรงงงาน ประมง เดิมทีเข้ามาตั้งรกร้างในประเทศพม่ากว่า 100 ปี ทหารพม่ากลับมองพวกเขาเป็นพวกลี้ภัยที่ผิดกฏหมาย ต่อมาเมื่อ รัฐบาลพม่าออก พรบ.ว่าด้วยสัญชาติกำหนดความเป็นพลเมืองพม่า ในปี พ.ศ.2552 สมัยรัฐบาลเนวิน จึงทำให้พวกเขากลายเป็นคนไร้รัฐ จากการรวมกลุ่มของชาติพันธ์ 135 กลุ่มชาติ ในประเทศพม่าและนายพลเนวิน ได้ออกนโยบาย ปฎิบัติการตรากอนคิง ในปี พ.ศ. 2520 ทำให้ ชาวโรฮิงยากว่า 2,000 คน ลี้ภัยไปบังคลาเทศ ซึ่งคนที่ยังอยู่ในประเทศพม่า ก็ถูกข่มเหง กลายเป็นคนชั้นล่าง
ทหารพม่าและรัฐบาลพม่า กระทำทารุณ ทั้งยังถูกจำกัดเสรีภาพในการเดินทาง ไม่สามารถเดินทางผ่านหมู่บ้านหนึ่งไปยังหมู่บ้านหนึ่งได้ อีกทั้งมีการบังคับใช้แรงงาน คือต้องอุทิศ 1 วัน/สัปดาห์ ไปทำงานโครงการต่างๆของทางรัฐบาล และอีก 1 วัน คือเป็นยาม การเรียกตัวไปทำงานมิได้รับเงินแต่อย่างใด อีกทั้งยังถูกตี ถูกซ้อม อีกด้วย ลูกเมียที่บ้านอดๆอยากๆ รอคอยการกลับมาของหัวหน้าครอบครัว ทั้งยังมีการจำกัดพื้นที่ในการทำมาหากิน ทำนาได้ต้องแบ่งรายได้ให้รัฐ 3 ต่อ 1 และถูกเรียกภาษีตามอำเภอใจอีก และหากจะต้องครองคู่กับใครสักคน ( แต่งงาน ) ยังถูกจำกัดสิทธิเลย คือ ต้องได้รับอนุญาตจาก กองรักษาความมั่นคงตามแนวชายแดน หรือ “ นาซากา” ซึ่งต้องใช้เวลาถึง 2 ปี ถึงจะได้รับการอนุมัติ และห้ามมีลูกเกิน 2 คน
ด้วยปัจจัยหลายๆอย่าง ประกอบกับความทารุณที่ทางรัฐบาลพม่า หยิบยื่นให้ ทำให้พวกเขาตกอยู่ในภาวะจำยอม ต้องไปทำมาหากินที่อื่นเพื่อพอแก่การเลี้ยงปากท้อง ต้องโยกย้ายไปทำมาหากินตามที่ต่างๆไปทั่วทั้งชายแดนพม่ากับจีน พม่ากับไทย เข้ามาเป็นแรงงานผิดกฎหมาย เข้าเมืองไทยมาทางบกก็มีไม่น้อย แต่ส่วนใหญ่จะมาทางน้ำ ถิ่นฐานสำคัญที่พวกนี้ไปหา คือ ประเทศมุสลิม โดยเฉพาะประเทศมุสลิมที่ค่อนข้างร่ำรวย ไปเป็นแรงงานราคาถูก สร้างถนนด้วยมือ เป็นชนโสเภณี อยู่สลัมยากจน ลูกๆหลานคลานกับดินข้างถนนเต็มไปหมด เผาพลาสติกเหม็นไปทั้งเมือง
ในเมื่อพวกเขาเลือกเกิดไม่ได้ แต่พวเขาเลือกที่จะเป็นเลือกที่จะเดิน เมื่ออยู่ในภาวะที่กลืนไม่เข้าคลายไม่ออกเช่นนี้ จำต้องออกเดินทางลาจากดินแดนนรกไปสู่ดินแดนแห่งสวรรค์ แต่พวกเขาก็ไม่มั่นใจหรอกว่าวรรค์ที่อยู่ข้างหน้าจะเป็นเช่นไร แต่มันก็ยังดีกว่าต้องอยู่ในขุนนรกไม่ใช่หรือ ชาวโรฮิงยา 79 คน มุ่งหน้าออกเดินทางลงเรือลำเดียวกัน แต่โชคร้าย เจอทหารพม่า มันซ้อม เฆี่ยนตี อยู่ 6 วัน จึงปล่อยตัว ส่วนหนึงในนั้นได้กระโดดน้ำตายไป 1 คน เหลือ 78 คน มันยังบอกอีกว่าห้ามกลับมาประเทศของมันอีก ไม่งั้นถูกยิงตาย หลังจากที่ปล่อยตัว ทนบาดแผลอยู่ 26 วัน ได้เจอทหารไทย (ในเขตน่าน้ำสากล ) ได้ทำการช่วยเหลือ พาขึ้นฝั่ง และได้ทำประวัติ อยู่ในเรือนจำ 5 วัน ( กักขังแทนค่าปรับ ข้อหาเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย) จากนั้นได้ส่งตัวไปที่ด่านตรวจคนเข้าเมืองระนอง ซึ่งตอนนี้สภาทนายความได้ดำเนินการระงับคำสั่งเรื่องการส่งตัวกลับฟประเทศต้นทางเพราะผิดกฎหมายระหว่างประเทศ หากส่งตัวกลับไปคงต้องตายแน่ๆ แม้จะมี UN มารับรองความปลอดภัยในการส่งกลับ แต่พวกเขาก็ไม่มั่นใจอยู่ดีว่า รัฐบาลพม่าจะได้ทำตามสัญญาดังกล่าวหรือไม่ บางคนบอกว่าขอตายที่ประเทศไทย หรือไม่ก็ติดอยู่ในด่าตรวจคนเข้าเมืองระนอง ตลอดไป
คดีนี้จะเป็นอย่างไรนั้นต้องติดตามกันต่อไป แต่สิ่งที่ผู้เขียนได้เรียนรู้ คือ ชีวิตของเรานั้นมีค่าเพียงใด เขาก็เป็นคนเราก็เป็นคน ชาวโณฮิงยาก็เป็นคน มีเลือดเนื้อ มีจิตใจ วันนี้เราไม่ครวจะมองข้ามปัญหาของเพื่อมนุษย์ด้วยกัน สิทธิและศักด์ศรีความเป็นมนุษย์ ของชาวโรฮิงยาเป็นเช่นไรต้องติดตาม………………………
ผู้เขียน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น