เป็นที่เข้าใจได้และทราบกันดีว่า นักศึกษาคณะนิติศาสตร์ในช่วงของปีที่ 3 ขึ้นปีที่ 4 นั้น ( ปิดเทอม Summer) จะเป็นที่นิยมไปฝึกงานตามสถานที่ต่างๆ ซึ่งการฝึกงานของนักศึกษานี้หาได้มีการบังคับไว้ว่าต้องฝึกทุกคนแต่ประการใดไม่ แต่เป็นเรื่องที่แล้วแต่บุคคลว่าต้องการประสบการณ์ก่อนจบไปทำงานจริงหรือไม่อย่างไรต่างหาก โดยบางคนอาจจะพอใจไปฝึกงาน หรือบางคนอาจไปทำกิจกรรมอื่นๆในช่วงเวลาดังกล่าวก็แล้วแต่จะตัดสินใจกันไป
สำหรับช่วงเวลาในการฝึกงานโดยปกตินั้นก็จะเป็นระยะเวลา 2 เดือนคือ เดือน เมษายนและเดือนพฤษภาคม สำหรับในส่วนของสถานที่ฝึกงานนั้นโดยปกติก็จะมีทั้งหน่วยงานราชการ และของเอกชน รับเข้าฝึกงาน การรับเข้าฝึกงานก็มีทั้งต้องไปสมัครในแต่ละสถานที่เอง หรือบางสถานที่จะรับผ่านคณะนิติศาสตร์โดยตรงเท่านั้นก็มี
1 การรับเข้าฝึกงานโดยผ่านคณะนิติศาสตร์ สำหรับสถานที่ฝึกงานที่รับผ่านคณะนิติศาสตร์โดยตรง ตามปกติในแต่ละปีก็จะเป็นหน้าที่ของศูนย์นิติศาสตร์เป็นศูนย์กลางในการรับสมัครและคัดเลือกนักศึกษาส่งไปฝึกงานตามสถานที่ต่างๆ ที่ส่งมาให้คณะนิติศาสตร์เป็นผู้คัดเลือกส่งไปเอง สำหรับสถานที่ฝึกงานที่รับผ่านศูนย์นิติศาสตร์ก็มีทั้ง เป็นของเอกชน ซึ่งในบางปีก็มีของ Law firm ดังๆ ติดอันดับ Top Five เช่น White And Case หรือที่อื่นๆก็แล้วแต่ในปีนั้นๆบริษัทใดจะส่งมาให้รับโดยผ่านคณะนิติศาสตร์บ้าง
แต่โดยมากที่พบมักเป็นบริษัทกฎหมายของไทยและมีน่าสนใจอยู่หลายแห่ง รวมถึงสถานที่ราชการหลายๆแห่งก็ติดต่อรับโดยผ่านส่วนนี้เช่นกัน ข้อดี ของการสมัครผ่านคณะก็คือ ถ้าคณะคัดเลือกนักศึกษาท่านใดแล้ว ก็คือว่าได้ไปฝึกงานในสถานที่นั้นๆเป็นที่แน่นอน
สำหรับการฝึกงานโดยผ่านคณะนั้นก็อาจได้ค่าตอบแทนการฝึกงาน ช่วยงานได้เช่นเดียวกับไปสมัครด้วยตนเองได้ ขึ้นอยู่กับสถานที่ที่เราไปฝึกงานจะมีการกำหนดไว้อย่างไร ต้องแล้วแต่สถานที่ๆไป
อย่างไรก็ดีถ้านักศึกษาท่านใดจะฝึกงานโดยผ่านคณะขอให้ติดต่อกับศูนย์นิติศาสตร์ และสอบถามข้อมูลไปโดยตรงได้ เพื่อสอบถามรายละเอียดและเตรียมตัวไว้ล่วง
2. การรับเข้าฝึกงานโดยนักศึกษาไปสมัครเอง (Walk in) สำหรับการเข้าฝึกงานโดยนักศึกษาไปสมัครเองนั้น ก็แล้วแต่สถานที่ บริษัทต่างๆเป็นผู้เปิดรับสมัครเอง ( ก็ต้องติดต่อสอบถามไปยังสถานที่ต่างๆเองว่าในปีนั้นๆจะรับนักศึกษาเข้าฝึกงานหรือไม่ ) ซึ่งก็มีทั้งหน่วยงานราชการและหน่วยงานของเอกชน และโดยตามปกติ Law Firm ที่เป็น Top Five จะใช้วิธีการรับเองโดยไม่ผ่านคณะ เช่นเดียวกันคือ สำหรับค่าตอบแทนก็แล้วแต่ว่าจะมีให้หรือไม่ขึ้นอยู่กับสถานที่ต่างๆ .. สำหรับรายละเอียดของ Law Firm ที่เป็น Top Five และข้อแนะนำในการสมัคร การสัมภาษณ์โดยละเอียดได้กล่าวไว้แล้ว จึงไม่ข้อกล่าวซ้ำ แต่สามารถเข้าไปอ่านได้ใน http://www.thaimisc.com/freewebboard/php/vreply.php?user=law_tu&topic=6284&page=1
ในส่วนของระยะเวลาที่เปิดรับนักศึกษาเข้าฝึกงานนั้น โดยปกติ จะมีการเปิดรับ ในช่วงของภาคการศึกษาที่ 2 ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนเป็นต้นไป
สำหรับการเปิดเรียนโดยปกติ(ปีนี้เปิดไม่ปกติเพราะหยุดกีฬามหาวิทยาลัยโลกไป) หลังจากเปิดเทอมแล้ว ก็ควรจะเตรียมหารายละเอียดและช่วงเวลาที่ แต่ละสถานที่ บริษัทเปิดรับสมัครฝึกงานกันได้ และสำหรับในบางบริษัทนั้น โดยเฉพาะ Top five Law firm บางแห่งจะมาแนะนำและรับสมัครกับที่คณะนิติศาสตร์เลยก็มี ฉะนั้น นักศึกษาคนใดสนใจจะฝึกงานที่ใดขอให้ศึกษาและเตรียมตัว
ในส่วนของอัตราการแข่งขันนั้น ดังได้กล่าวมาแล้วว่า ถ้าสมัครโดยผ่านคณะนิติศาสตร์ ก็เป็นไปตามคณะกำหนดซึ่งขอให้สอบถามไปโดยตรง แต่ถ้าไปสมัครเอง(Walk in) นั้น ในกรณีของบริษัทที่มีชื่อเสียง โดยเฉพาะ Top five อัตราการแข่งขันนั้น โดยทั่วๆไปอาจเป็น 50-60 ต่อ 1 คนเลยเชียว ตัวอย่างของปีของพี่ สมัคร Baker กัน เกือบ 300 คน ได้ 5 คน เป็นต้น และในปีต่อๆมาก็ไม่ต่างกันมาก แต่ถ้า Law firm บางแห่งอัตราส่วนไม่มาก แต่คุณสมบัติต้องดีจริงๆจึงจะได้ก็มี ฉะนั้น ของให้ศึกษารายละเอียดแต่ละที่และเตรียมตัวกันล่วงหน้า ถ้าสนใจ
ในประเทศไทยจะเป็นที่รู้กันในหมู่นักกฎหมายเอกชนว่ามีการจัดอันดับ law firm อยู่ ซึ่งทำให้เกิด top five law firm ขึ้นมา อันประกอบไปด้วย ALLEN & OVERY (THAILAND) CO., LTD BAKER & MCKENZIE . LTD CLIFFORD CHANCE LINKLATERS WHITE & CASE (THAILAND)LIMITED
โดยในแต่ละ law firm นั้นไม่สามารถบอกหรือเจาะจงลงไปได้ชัดเจนว่า law firm ใด อยู่อันดับที่เท่าไร แต่เมื่อกล่าวถึง law firm ทั้ง 5 แห่งดังกล่าว ก็มักเรียกว่าเป็น top five law firm และเป็นที่รู้กันทั่วไปว่า ใน top five นั้น law firm ที่ใหญ่ที่สุด (ขนาด ) ก็คือ BAKER & MCKENZIE CO., LTD เพราะมีพื้นที่ การแบ่งแยกแผนก และจำนวนนักกฎหมายมากที่สุด
โดยหลัก การฝึกงานใน top five law firm เกือบทุกแห่งมักจะดูเกรด และภาษาอังกฤษเป็นสำคัญ ( ซึ่งโดยมากถ้าเกรดเฉลี่ย 80 % ขึ้นไปก็จะมีโอกาสได้รับคัดเลือกเข้าฝึกงานมากกว่าคนที่เกรดเฉลี่ยต่ำกว่านี้ แต่มิได้หมายความว่าถ้าเกรดเฉลี่ยไม่ถึง80 % จะไม่ได้รับคัดเลือกให้เข้าฝึกงานใน top five law firm เสียเลย และแม้เกรดเฉลี่ย 80 % ขึ้นไปก็มิได้หมายความว่าจะได้รับคัดเลือกให้เข้าฝึกงานใน top five law firm อย่างแน่นอน ต้องดูความสามารถอื่นประกอบด้วย สำหรับนักศึกษาที่เกรดเฉลี่ยไม่สูงมาก ( มักดูกันว่าเกิน80 % หรือไม่ ) ก็ควรต้องมีความสามารถอื่นมาทดแทนเพิ่มเติมเกรดเฉลี่ยนี้ ซึ่งที่สำคัญก็คือ ภาษาอังกฤษ นอกจากนี้บุคลิกภาพ ของแต่ละบุคคลก็มีส่วนสำคัญที่นำมาใช้คัดเลือกนักศึกษาเข้าฝึกงานใน top five law firm ด้วย CLIFFORD CHANCE
เริ่มแรกจะดูจากใบสมัครก่อน จะดูเกรดเป็นหลัก โดยเฉพาะ อันดับต้นๆของคณะถ้าไปสมัครจะมีโอกาสมาก และในอดีต ถ้าเป็นที่ 1 ของรุ่น(ในชั้นปีที่ 3 ขึ้น ปีที่ 4 ) ไปสมัคร ก็จะรับทันทีเลย ( บางปีที่ 2 ก็จะได้ด้วยเหมือนกัน ) ที่นี่จะเรียกเฉพาะนักศึกษาที่เกรดสูงๆไปสัมภาษณ์ ซึ่งปกติจะเรียกเฉพาะนักศึกษาที่เกรดเฉลี่ย 80 % ขึ้นไป มาสอบข้อเขียนก่อน โดยเป็นข้อสอบกฎหมายยากๆ ให้เวลาในการทำและให้ประมวลประมวลกฎหมายด้วย ข้อสอบที่ให้ทำก็จะมาจากคดี (Case) ที่ลูกความเคยมาปรึกษาที่บริษัทนั่นเอง
พอสอบข้อเขียนเสร็จแล้ว ก็จะนัดมาสัมภาษณ์อีกครั้งหนึ่งทั้งภาษาไทย และภาษาอังกฤษ
การสัมภาษณ์ภาษาไทย จะโหดมาก ปกติจะนักมีกฎหมาย 5 คนขึ้นไปร่วมกันถามนักศึกษาคนเดียว ซึ่งจะถามยาก ลึก และก็จะถามไล่ไปเรื่อยๆจนกว่าจะต้อนให้เราจนด้วยเหตุผล ( แต่ถ้าตอบตามหลักกฎหมายก็ไม่มีปัญหา แต่ที่น่ากลัวคือบางหลักกฎหมายเรายังไม่ได้เรียนหรือลึกเกินกว่าจะคิดไปถึง )
ส่วนการสัมภาษณ์ภาษาอังกฤษนั้น ก็จะเป็นคนต่างชาติ(คนเดียว)มาสัมภาษณ์เป็นคนละคนกับคนสัมภาษณ์ภาษาไทย คำถามก็พื้นๆทั่วไปที่พูดคุยและใช้ในชีวิตประจำวัน แค่พอพูดคุยสื่อสารเข้าใจได้ก็พอ
ข้อสังเกต
ข้อสังเกต
ที่ผ่านๆมาที่นี่ จะดูเกรดเป็นหลักจริงๆ เช่น ถ้ามีที่ 1 2 3 ในคณะ ไปสมัคร และมีที่ลำดับต่ำกว่าไปสมัครด้วย คนที่ลำดับต่ำกว่าด้วยก็จะไม่ได้เลย แต่ปัจจุบันอาจเปลี่ยนไปบ้าง แต่อย่างไรก็ตามถ้าที่ 1 ไปสมัคร ก็เห็นว่าน่าจะรับแน่ๆอยู่เช่นเดิม เหตุผลที่อ้างอิงคือ ที่นี่ ถ้าจบปริญญาตรีได้เกียรตินิยมอันดับ 1 เหรียญทอง ไปสมัครก็จะรับเข้าทำงานทันที แม้ภาษาอังกฤษอาจไม่เก่ง
BAKER & MCKENZIE
เนื่องจากเบเคอร์ มีการแบ่งแยกงานกฎหมายออกเป็นแผนกต่างๆเพราะมีงานเข้ามามากในแต่ละปี จึงจำต้องมีนักกฎหมายที่เก่งเฉพาะด้านแยกออกไปตามแผนก ตัวอย่างแผนก เช่น Marketing Litigation IP Corporate Real Estate Insurance ฯลฯ (ดูจากใบสมัครได้)
ดังนั้น ตั้งแต่ตอนเริ่มแรกที่กรอกใบสมัครก็จะให้เลือกแผนกที่สนใจจะเข้าไปฝึกงานเลย (เรียงลำดับ) ซึ่งถ้าหากได้รับคัดเลือกให้เข้าไปฝึกงาน ก็จะได้ไปประจำอยู่ในแผนกตามที่ได้เลือกไว้ เพราะฉะนั้น การเลือกแผนกที่ตนเองสนใจไว้แต่แรกจะเป็นผลดีมาก เพราะงานที่ได้รับในแผนของตนจะเป็นงานในกฎหมายเกี่ยวกับเรื่องนั้นๆโดยตรงจริงๆ ปกติจะเรียกทุกคนที่สมัครมาสัมภาษณ์ โดยเกรดขั้นต่ำจะเป็น 70 % (อาจเปลี่ยนแปลงไปในแต่ละปี)
การทดสอบก็จะนัดคนสมัครแต่ละคนมาสัมภาษณ์ไว้ล่วงหน้าทันทีที่ยื่นใบสมัคร (อาจเปลี่ยนแปลงไปในแต่ละปี) การนัดสัมภาษณ์จะนัดคนที่เกรดเฉลี่ยใกล้เคียงกันอยู่วันเดียวกัน
ในวันสัมภาษณ์จะมีการให้เขียนเรียงความภาษาอังกฤษส่งก่อนให้เวลาประมาณ 30 – 45 นาที ( จำไม่ได้แน่นอนว่ากี่นาที) ตามหัวข้อที่แจกในแต่ละวัน ซึ่งหัวข้อเรียงความในแต่ละวันที่มาสัมภาษณ์ก็จะแตกต่างกันออกไป ให้เขียนประมาณ 1 หน้า เอ 4 เช่น Compare between judge and lawyer (in law firm) หรือหัวข้อเกี่ยวกับทัศนะคติหรือความคิดเห็นในเรื่องต่างๆที่สำคัญๆในช่วงเวลานั้นๆ (จะไม่ใช่คำถามกฎหมายให้ตอบเป็นภาษาอังกฤษ) พอเขียนเสร็จหรือหมดเวลาก็ส่งก่อน แล้วไปรอสัมภาษณ์ ในขณะที่รอสัมภาษณ์พี่ๆที่บริษัทก็จะสั่งอาหารมาเลี้ยงด้วย ในปีของเราเป็น pizza ไก่ทอด และ pepsi การสัมภาษณ์นั้นปกติก็จะมีนักกฎหมายสองถึงสามคนเป็นคนสัมภาษณ์
คำถามก็เกี่ยวกับประเด็นกฎหมายให้คิด ไม่ยากมาก ดูความเข้าใจและความสามารถในการถ่ายทอด อธิบายเป็นหลัก แต่บางทีก็จะมีคำถามยากๆถามมาด้วยเหมือนกัน ซึ่งอันนี้ก็แล้วแต่ดวงของแต่ละคนล่ะ ว่าคำถามจะยากหรือง่าย เช่น ประมาทกับประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงต่างกันอย่างไร , ถ้าวัตถุในการชำระหนี้ในสัญญาต่างตอบแทนถูกทำลายไปก่อนสัญญาเกิด และภายหลังสัญญาเกิดแล้ว ผลของสัญญาทั้งสองจะแตกต่างกันอย่างไร อธิบาย (อันนี้ง่าย) แล้วก็ถามไล่ไป 215 218 219 370-372 ประมาณนี้ แล้วก็มีคำถามพวกการออกเสียงในบริษัท บางทีก็จะเจอกฎหมายแปลกๆอย่างเช่น กฎหมายเกี่ยวกับการถือครองที่ดินของคนต่างด้าว การเช่าอสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุน ซึ่งเช่าได้เกินกว่า 30 ปี เป็นต้น ส่วนภาษาอังกฤษก็คำถามทั่วๆไป ซึ่งคนสัมภาษณ์ก็คือคนเดิม แต่บางคนก็โดนถามยากก็มี อันนี้แล้วแต่ดวงอีกเช่นกัน 555
ที่เบเคอร์นั้นรับนักศึกษาเข้าฝึกงานไม่ได้ดูเกรดอย่างเดียว แต่จะดูภาษาอังกฤษประกอบด้วย ก็มีเกรด ตั้งแต่ 70 ขึ้นไป จนถึง 80 กว่าๆ ไปฝึกงาน ซึ่งหากเกรดไม่สูงความสามารถด้านภาษาอังกฤษที่ไปชดเชยก็ต้องเก่งในระดับหนึ่ง แต่ถึงแม้เกรดสูงแต่ถ้าภาษาอังกฤษไม่ดีก็ไม่ได้รับคัดเลือกให้เข้าไปฝึกงานเหมือนกัน รุ่นเราเป็น Summer Clerkship 2005 มีนศ..มธ. 5 คน จุฬา 10 คน ( ส่วนในเรื่องประสบการณ์ตอนฝึกงานไว้เล่าต่อทีหลัง)
ในการสัมภาษณ์ฝึกงานนั้น ทั้งที่ BAKER & MCKENZIE CO., LTD และ CLIFFORD CHANCE หรือ law firm อื่นๆนั้น
ในการสัมภาษณ์ฝึกงานนั้น ทั้งที่ BAKER & MCKENZIE CO., LTD และ CLIFFORD CHANCE หรือ law firm อื่นๆนั้น
นอกจากคำถามภาษาอังกฤษและคำถามที่เกี่ยวกับกฎหมายโดยตรงแล้ว ก็เป็นปกติที่จะต้องมีคำถามสัมภาษณ์เพื่อทดสอบ ทัศนะคติ ความคิด และมุมมองอีกด้วย โดยจะเป็นคะแนนกว่าครึ่งหนึ่งของการสัมภาษณ์ ซึ่งพอจะให้ข้อแนะนำและสังเกตได้ ดังนี้ 1. จะมีคำถามในกลุ่มที่ทดสอบความมุ่งมั่น ความตั้งใจ เป็นการทดสอบว่านักศึกษาที่จะเข้ามาฝึกงานนั้นมีความสนใจในงานด้านเอกชนใน law firm จริงหรือไม่ อย่างไร เพราะบาง law firm ก็ต้องการรับเด็กฝึกงานที่พอฝึกงานแล้วในอนาคตจะมาสมัครงานที่ law firm ของตนเองอีก หรือต้องการคนที่สนใจจะทำงาน law firm ในอนาคตจริงๆ
ดังนั้น ไม่ต้องจำอะไรเลย ตอบไปตามหลัก จะตอบอย่างไรก็ได้ตามสไตล์แต่ละคนเลย แต่ขอให้มีแนวทางดังข้างต้นก็ใช้ได้ เช่น ถ้าถามว่า อนาคตอยากเป็นอะไร น้องๆก็รู้ใช่ไหมว่าควรตอบไปในแนวทางไหน หรือถามว่า ถ้าพี่กำลังตัดสินใจว่าจะเลือกน้องเข้าฝึกงาน หรือเลือกเพื่อนสนิทที่สุดของน้องที่มาสมัครด้วยเข้าฝึกงาน พี่ควรจะเลือกใคร เพราะเหตุใด หรือถามว่า อนาคตจะเรียนต่อไหม เรียนต่อด้านใด ที่ไหน อย่างไร หรือถามแผนการณ์ในอนาคต พวกนี้ ก็ตอบกันเอาเอง ตามแนวนี้ แต่ขอให้เป็นธรรมชาติ อย่าFake มากเกินงาม เอาพอดีๆ เป็นตัวของตัวเอง เพราะถ้า มันดูเวอร์คนสัมภาษณ์เค้าก็ดูออก 2. กลุ่มคำถามเพื่อทดสอบลักษณะนิสัย ความคิด การทำงานร่วมกับผู้อื่น การเข้าสังคม การควบคุมอารมณ์ ( เดี๋ยวมาเขียนต่อตอนดึกๆนะไปธุระก่อน ใครมีอะไรเสริมหรือแก้ไขก็เต็มที่เลย )
ALLEN & OVERY (THAILAND) CO., LTD
ให้ค่าตอบแทนเดือนละ 10000 - 12000 บาท *ปกติจะรับประมาณ 3- 5 คน BAKER & MCKENZIE LTD. ให้ค่าตอบแทนเดือนละ 10000 บาท *รับทั้งหมดประมาณ 15 คน ไปเฉลั่ยกับเด็กจุฬา โดยมากก็จะได้อยู่ 4 - 6 คน CLIFFORD CHANCE ให้ค่าตอบแทนเดือนละ 15000 บาท (มากที่สุด) *รับประมาณ 3 คน LINKLATERS ใหค่าตอบแทน 2 เดือน รวม 25000 บาท *รับประมาณ 2 คน WHITE & CASE (THAILAND) LIMITED ตอนเริ่มแรกเคยให้ 5000 บาท ต่อมามีการปรับให้เป็น 10000 บาทเท่ากับที่อื่นๆเพื่อเป็นการจูงใจ นอกจากนี้ในบางปีก็ยังมี package ตั๋วเครื่องบินไปกลับ กรุงเทพฯ-ภูเก๊ต 3 วัน 2 คืน พักที่รีสอร์ตส่วนตัวของบริษัท ฟรีตลอด package ไปกันทั้งหมดที่ฝึกงานเลย กับพี่ที่บริษัท *รับนักศึกษาฝึกงานอาจถึงสิบคนขึ้นไปแล้วแต่ปี หมายเหตุ* จำนวนที่รับมิได้หมายถึงจำนวนทั้งหมดที่รับเข้าฝึกงาน แต่หมายถึงจำนวนโดยประมาณที่รับนักศึกษาเฉพาะของธรรมศาสตร์เข้าไปฝึกงานนะ ถ้าเป็นจำนวนรวมนักศึกษาฝึกงานทั้งหมดในแต่ละที่รวมมหาลัยอื่นอีกก็จะมากกว่านี้ โดยจำนวนที่รับนศ.มธ.เข้าฝึกงานของแต่ละที่ ในแต่ละปีก็ต่างกันอยู่แล้ว ขึ้นกับคุณภาพของนศ.ด้วย อันนี้เป็นจำนวนสถิติโดยประมาณ
ขอบคุณที่เขียนให้อ่านนะคะ
ตอบลบเราเชื่อว่ามีหลายคนผ่านมาอ่าน แต่อาจจะไม่ได้มี คอมเม้นท์
ยังไงถ้ามีอะไรใหม่ๆก็เขียนเล่าได้อีกนะคะ มีคนติดตามแน่นอน ^ ^
ขอบคุณที่เขียนบนความนี้ไว้นะครับ ^^
ตอบลบประโยชน์มากครับ
ตอบลบขอบคุนค่ะ
ตอบลบขอบคุณมากค่ะเป็นประโยชน์มากเลย อยากทราบด้วยว่า ที่Baker ในการสัมภาษณ์จะมีการให้ทำprsentationด้วยรึเปล่าค่ะ รบกวนด้วยค่ะ ขอบคุณค่ะ
ตอบลบI am very much pleased with the contents you have mentioned. I wanted to thank you for this great article.
ลบProbate Attorney